การถ่ายทอดความรู้และแบ่งปันความรู้
การถ่ายทอดความรู้และแบ่งปันความรู้
" ความรู้จำเป็นต้องมีการถ่ายทอดและแบ่งปันเพื่อผลประโยชน์โดยรวมขององค์กร"
การถ่ายทอดความรู้และการแบ่งปันความรุ้นั้น คาดว่าทุกองค์กรนั้นก็คงจะมีกัน
แต่ก็แล้วแต่องค์กรต่างๆว่าจะมีวิธีการแบบไหนที่จะสามารถที่ทำให้บุคคลากรของตนเองมีการพัฒนาและเลือกวิธีการที่เหมาะสมในการถ่ายทอด
แต่ทุกบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆก็อาจจะเกิดปัญหาในด้านนี้
อย่างแรกคือ การที่คนที่มีความสามารถอาจจะไม่ถ่ายทอดความรู้คือ
บางครั้งอยู่ในองค์กรเดียวกันแต่อยู่คนละสายงาน
คนที่มีประสบการณ์ในสายงานหรือมีความรู้ความสามารถก็อาจจะถ่ายทอดเฉพาะสายงานของตนเองไม่ได้ถ่ายทอดความรู้อย่างทั่วถึง
2) ปัญหาที่พบคือ
การถ่ายทอดความรู้บางครั้งอาจจะไม่สามารถนำมาปฏิบัติจริงได้เพราะการที่วิทยากรหรือผู้ที่มีความรู้ในด้านต่างๆมาบรรยาย
แต่บางครั้งอาจจะเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมและการใช้งานแตกต่างกันทำให้
ความรู้ที่ได้รับมานั้นอาจจะไม่สามารถนำมาใช้งานจริง
3) การแบ่งความรู้หรือถ่ายทอดบางครั้ง
อยู่ที่บุคลากรที่รับฟังในการบรรยายหรือการอบรม
ถ้าบุคลากรนั้นมีความรู้ความสามารถหรือมีการศึกษาที่ดีก็สามารถเข้าใจ
แต่บางครั้งบุคคลที่เข้ารับฟังก็มีการศึกษาที่ไม่สูงนักทำให้ไม่สามารถเข้าใจในเรื่องที่ฟังได้
ทำให้การแบ่งปันความรู้หรือการถ่ายทอดความรู้ก็ไม่สามารถกระจายได้อย่างเต็มที่
แต่ก็มีการแก้ไขได้เพราะองค์จำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆดังนั้นก็ต้องมีการแก้ปัญหา
โดยการที่บริษัทได้จัดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและประสบความสำเร็จในเรื่องของงานขายและงานบริหารทีมงานว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความาเร็จอย่างเขา
ซึ่งวิธีการนี้ได้รับการตอบรับดีมากและสามารถนำไปใช้งานได้จริงและไม่มีการหวงความรู้ด้วย
อีกทั้งยังมีการให้หัวหน้างานคอยสอนงานลูกน้องในสังกัดเพื่อให้มีการพัฒนาและมีการนำสถานการณ์จริงมาเป็นตัวอย่างที่สามารถเห็นได้ชัดเพื่อที่จะให้พนักงานเข้าใจและนำไปใช้ได้จริง
ดังนั้นจะพบว่า
การถ่ายทอดและการแบ่งปันความรู้นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาคนและพัฒนางาน
ถ้าสามารถนำประสบการณ์จากคนที่ทำงานมาประยุกต์ใช้ได้ก็จะสามารถทำให้งานนั้นๆมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้
การถ่ายทอดความรู้ (knowledge transfer)
การถ่ายทอดความรู้ (knowledge transfer) เป็นขั้นตอนหนึ่งของการจัดการความรู้
(knowledge management) ซึ่งหมายความถึง
การแบ่งปันความรู้ภายในองค์การที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลและกลุ่มต่าง ๆ (Quinn,
Anderson, and Finkelstein, 1996) การจัดการวัฒนธรรมทางองค์การสำหรับการถ่ายทอดความรู้จะเริ่มจากการกำหนดวิสัยทัศน์
พันธกิจ และค่านิยม
ที่นำและสนับสนุนการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการสร้างความรู้ แบ่งปันความรู้
และสะสมความรู้ในทุกระดับ สภาพแวดล้อมการทำงานที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของการจัดการความรู้ขององค์การ
จะเห็นได้จาก
พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้แบบการทำงานร่วมกันในทุกระดับของสมาชิกองค์การ (synergetic
behavior of knowledge) (Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) ซึ่งผู้ปฏิบัติต่างทำงานร่วมกันเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารการปฏิบัติงานในลักษณะต่อไปนี้
1) การเติมข้อมูลการปฏิบัติงานที่ประสบผลสำเร็จมากที่สุด
(Best practices) ลงในฐานข้อมูลความรู้ขององค์การ
2) การทำแบบประเมินและตรวจสอบประสบการณ์และข่าวสารความรู้ที่ไม่ถูกต้องของผู้ปฏิบัติ
3) การสอน
การติวเข้ม การเป็นพี่เลี้ยงให้เพื่อนร่วมงาน การอภิปราย
และการพูดคุยอย่างเปิดเผยกับเพื่อนร่วมงาน
4) การเขียนรายงาน
และการเตรียมรายงานการวิเคราะห์งานเขียน การจัดเตรียมบันทึกเตือนความจำส่วนตัว
และรายงานให้กับเพื่อนร่วมงาน
5) การให้ข้อแนะและข้อสังเกตอย่างเปิดเผย
การให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์
และการให้คำตอบสำหรับปัญหาการปฏิบัติงานแก่เพื่อนร่วมงานอย่างแข็งขัน
6) การจัดทำเอกสารเกี่ยวกับความเข้าใจในประโยชน์
สถานการณ์ หรือปัญหาที่ซับซ้อน การเขียนลำดับขั้นตอนของการทำกิจกรรมต่าง ๆ
ในการปฏิบัติงาน
และหนังสือคู่มือการปฏิบัติงานในระหว่างที่กำลังทำงานในกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงงาน
7) การใช้ฐานข้อมูลความรู้ที่มีอยู่ในการทำกิจกรรมหรือภารกิจต่าง
ๆ
การทำงานร่วมกันในการถ่ายทอดความรู้ของสมาชิกองค์การในทุกระดับจะเป็นผลให้ผู้ปฏิบัติยอมรับว่า
การทำงานด้วยกันอย่างเปิดใจโดยปราศจากการขยักหรือปกป้องความรู้ที่ตนมีโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้นั้น
จะส่งผลให้องค์การมีความสามารถในการผลิตและนวัตกรรมมากยิ่งขึ้นมากกว่าการที่ต่างคนต่างทำ
การจะทำให้เกิด “ พฤติกรรมการถ่ายทอดความรู้แบบการทำงานร่วมกันในทุกระดับของสมาชิกองค์การ
” นอกเหนือไปจากการสนับสนุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ใช้ข่าวสารความรู้จากฐานข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลแล้ว
องค์การจำเป็นต้องสร้าง เงื่อนไขที่ต้องมีมาก่อน (preconditions) พฤติกรรมดังกล่าว
สำหรับการเอื้ออำนวยให้เกิดการแบ่งปันความรู้ภายในองค์การ ดังนี้
1) ทัศนคติของความใส่ใจและความไว้วางใจในหมู่สมาชิกองค์การ
( Krogh 1998) องค์การต้องจัดทำค่านิยมและมาตรฐานทางจริยธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติต่าง
ๆ ในการทำงานที่เป็นที่ยอมรับ ได้รับความเห็นพ้องจากสมาชิกองค์การ
และสื่อสารให้เป็นที่รู้ทั่วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมของการยอมรับความผิดพลาด
และไม่ลงโทษการทำผิดพลาด และบรรยากาศของความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ ทั้งนี้
เพื่อให้โอกาสแก่สมาชิกองค์การในการแก้ไขความผิดพลาด ซึ่งจะทำให้สมาชิกองค์การเกิดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
มีความสนใจในมุมมองและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แสวงหาความช่วยเหลือในการปฏิบัติงาน
มีความยืดหยุ่นในการลงความเห็นและตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติ
มีความกล้าที่จะพูดแสดงความคิดเห็น/ ความรู้สึก
2) พฤติกรรมการบริหารที่เอื้อต่อการแบ่งปันความรู้ในหมู่สมาชิกองค์การ
(Nonaka and Konno 1998; Quinn, Anderson, and Finkelstein, 1996) การแบ่งปันความรู้จะเกิดขึ้นจากการรับรู้ของผู้ปฏิบัติต่อองค์การที่ยึดมั่นอย่างจริงจังในค่านิยมของการส่งเสริม
สนับสนุน เพิ่มค่า และดูแลความรู้ และให้การสนับสนุนงบประมาณ เครื่องมือ วิชาการ
และเทคนิคที่จำเป็นสำหรับการแบ่งปันความรู้
และต่อผู้บริหารในการเป็นตัวอย่างของการแบ่งปันความรู้และไม่กักตุนความรู้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริหารต้องทำตามที่พูดหรือบอกให้ผู้ปฏิบัติทำ (walk-the-talk)
ผู้บริหารต้องจัดสรรเวลาสำหรับการพูดคุย รับฟังปัญหา/
ความคิดเห็นของผู้ปฏิบัติ
และอนุญาตและให้เวลาผู้ปฏิบัติเข้าร่วมเครือข่ายการจัดการความรู้
และผู้บริหารต้องเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของผู้ปฏิบัติในการแบ่งปันความรู้ด้วย
3 )
การให้รางวัลและผลตอบแทนสำหรับส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ (Davenport,
Long and Beer 1998; King 1998; Quinn, Anderson and Finkelstein, 1996) รางวัลพิเศษและการให้สิ่งตอบแทนวิธีต่าง
ๆ อาจใช้เป็นแรงจูงใจภายนอกเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานตั้งใจแบ่งปันและถ่ายทอดความรู้
เช่น การยกย่องและการมีชื่อเสียงสำหรับผู้ปฏิบัติที่มีส่วนเพิ่มพูนฐานความรู้
หรือมีส่วนอย่างแข็งขันในการแบ่งปันความรู้
การกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับผู้ปฏิบัติที่มีประสบการณ์ให้ทำการสอน
และการเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ผู้ปฏิบัติใหม่
การให้ผู้ปฏิบัติทำการสรุปรายงานการประเมินผลโครงการ กิจกรรม หรืภารกิจต่าง ๆ
ภายหลังเสร็จสิ้นการดำเนินงาน เพื่อเป็นการเรียนรู้อย่างเป็นระบบจากประสบการณ์ตรง
ซึ่งบทเรียนที่ผู้ปฏิบัติได้เรียนรู้จะถูกวิเคราะห์อย่างเป็นระบบและเก็บไว้ให้ผู้ปฏิบัติคนอื่นใช้ต่อไป
4
) การสนับสนุนการสร้างชุมชนนักปฏิบัติ (Davenport, Long and
Beer 1998; Manville and Foote 1996; Quinn, Anderson and Finkelstein, 1996) ชุมชนนักปฏิบัติเป็นเครือข่ายแบบไม่เป็นทางการภายในองค์การที่ซึ่งผู้คนที่มีความสนใจและมีปัญหาร่วมกันมาพบปะ
พูดคุยในความหมายเดียวกัน มีการพัฒนาการทำงานร่วมกัน และมีข้อผูกพันในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ยิ่งทำให้มีความไว้วางใจและการเปิดใจกันมากยิ่งขึ้นในการถ่ายทอดและแบ่งปันความรู้กันอย่างเปิดเผย
เครือข่ายชุมชนนักปฏิบัติจึงเป็นกลวิธีที่จะช่วยลดอุปสรรคส่วนของบุคคลและอุปสรรคทางสังคมในการแบ่งปันความรู้
ทั้งนี้ องค์การต้องสนับสนุนเลา สถานที่ เครื่องมือ ข่าวสาร วิชาการ และเทคนิคต่าง
ๆ ที่จำเป็นแก่ผู้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
5 ) การประมวลผลข่าวสารความรู้ หรือ
การมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว (Hansen, Nohria, and Tierney 1999) นักวิชาการได้เสนอแนะกลวิธีที่มีประสิทธิผลในการจัดการกับประเด็นทางวัฒนธรรมองค์การในการถ่ายทอดความรู้ไว้
2 วิธี กลวิธีประมวลข่าวสารความรู้ (codification)
มุ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสารสนเทศ คือ
ความรู้จะดึงออกจากผู้ที่ทำให้เกิดความรู้ขึ้นโดยการใช้วิธีการต่าง ๆ (เช่น
แนวทางการสัมภาษณ์ ตารางการปฏิบัติงาน
การทดสอบเพื่อวัดความสามารถในการทำงานโดยเทียบเคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน )
แล้วทำการประมวลผลและเก็บไว้ในฐานข้อมูลความรู้
ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงและนำไปใช้ได้ กลวิธีการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว
ให้ความสำคัญและดำเนินการกับการพูดคุยกันระหว่างบุคคล โดยความรู้จะถูกถ่ายทอดจากการพบปะกันเป็นส่วนตัวและการสนทนาแบบตัวต่อตัวเป็นสำคัญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ ความรู้ที่บอกเล่าได้ยาก ” (Tacit
knowledge) ระบบสารสนเทศที่ใช้ร่วมกับกลวิธีนี้คือ
ทำเนียบผู้เชี่ยวชาญ ระบบแผนที่ความรู้
ฐานข้อมูลค้นหาตำแหน่งของผู้คนซึ่งแสดงรายชื่อของบุคคลผู้ปฏิบัติควรพูดคุยด้วยเกี่ยวกับหัวข้อหรือปัญหาการปฏิบัติงานบางเรื่อง
6) รูปแบบทางโครงสร้างขององค์การที่ส่งเสริมการแบ่งปันความรู้
(Davenport, Long and Beer 1998) องค์การอาจต้องปรับรูปแบบทางโครงสร้างขององค์การให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมของการจัดการความรู้
อาจทำเป็นโครงการเฉพาะที่มีสายการสั่งงานและการประสานงานในแนวราบ
ทำให้ลดระยะห่างระหว่างผู้ปฏิบัติกับผู้บริหาร
ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงผู้บริหารได้ง่ายเมื่อต้องการความช่วยเหลือในงาน
มีการสื่อสารตัวต่อตัวแบบไม่เป็นทางการ ผู้ปฏิบัติมีการประสานความร่วมมือกันในการทำงานภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มต่าง
ๆ ในองค์การ เพื่อให้เกิดความเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผูกพันกัน
และเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์การร่วมกัน (Miles, Miles, and Perrone
1998)
การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge
Sharing)
องค์กรสามารถนำเครื่องมือในการจัดการความรู้มาใช้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งใช้หลักการของ
SECIความรู้ชัดแจ้งสามารถ นำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ
เข้ามาใช้เพื่อช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่ความรู้ฝังลึกนั้นเกิดการแลกเปลี่ยนได้ยากขึ้นอยู่กับทัศนคติและวัฒนธรรมขององค์กรและต้องเลือกใช้วิธีให้เหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น